หุบเขาศิลปะPocheon (FORAR)
มันกลายเป็นบ่ายแก่ๆอย่างรวดเร็ว.สถานที่สุดท้ายใน PocheonคือหุบเขาศิลปะPocheon - FORAR ซึ่งคุณไม่ควรพลาดสถานที่นี้.
หุบเขาศิลปะPocheonเคยเป็นเหมืองหิน Hwagangam แล้วกลายมาเป็นงานศิลปะและสถานที่ท่องเที่ยว,หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในPocheon.
ที่ที่เราขึ้นรถบัสเพื่อที่จะไปยังหุบเขาศิลปะคือตรงด้านหน้าของสำนักงาน Sinbukmyeon.นี่เป็นกุญแจไปสู่พื้นที่ตะวันออกของ Pocheonแต่เราต้องเข้าไปอีกเพื่อไปยังหุบเขาศิลปะ.
รถบัสส่วนใหญ่มาที่นี่ใกล้กับหุบเขาศิลปะแต่มันเป็นหน้าหนาวดังนั้นพระอาทิตย์อยู่หลังภูเขาและเราต้องเดินตามขอบระหว่างนาข้าว.
เราไม่เคยคิดว่าเราจะได้มาเดินแบบนี้ที่Pocheon. ตอนที่เราเดิน,เราเห็นหอหินตั้งอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน.
และรูปปั้นสาวพรมจรรย์จากสมัยJoseon.มันคือรูปปั้นขอครอบครัวChangwon Yu ที่ลูกสะใภ้ของครอบครัว Jeongและตายจากการผิดหวังในความรักจากสามีของเธอที่เสียไปจากสงคราม Manchuในปี1636.
เราในที่สุดก็มาถึงถนนแต่เราก็ต้องเดินขึ้นไป0.7km เพื่อที่จะดูหุบเขาศิลปะ.ก็,ผมมีความรู้สึกไม่ดีที่เราต้องผ่านภูเขานั้นอย่างน้อย.เราไม่เห็นรถบัสใช้ถนนนี้เลย.น่าจะดีที่ว่าเราเริ่มที่จะเดินไม่ได้รอ.
มันแค่0.7km แต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีอาคารใดๆอย่างที่ผมคาดไว้,ทันทีที่ผ่านภูเขาและเลี้ยวผ่านมุม,แบง!ลานจอดรถ.ตายแล้ว,เราจะต้องเหนื่อยมากตอนที่เราไปถึงที่นั่น.
มีป้ายอยู่บนเนินเขาตอนเดินไปที่ภูเขา.ทางเดินภูเขา Cheonju...เรามาที่นี่เพื่อปีนเขาเหรอ?
ก็,มันเป็นการเดินที่นานแต่ต้องขอบคุณที่เราไปถึงก่อนมืด.แม้แต่ห้องน้ำสีเหลืองที่ตรงทางเข้าก็เป็นเหมือนขนมในสายตาผม.
เราก็เห็นลานจอดรถและอาคารศิลปะ.ไม่มีใครคงเดาได้ว่าจะมีอาคารอยู่กลางภูเขาเนื่องจากมันมองไม่เห็นจากด้านล่าง.
พิ้ว~ยังไงก็ตาม,เรามาที่นี่เพื่อสิ่งนี้.เราต้องไปที่ห้องน้ำเพื่อทำอาณาเขตและเริ่มทัวร์.มันเป็นทางที่ยาวนานแต่ทัวร์เริ่มแล้ว.
ที่ชั้นหนึ่งของอาคารที่ใกล้กับลานจอดรถที่สุด,ยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของPocheon-si จัดแสดงไว้ให้นักท่องเที่ยว.แม้ว่าเราจะไม่ใช่ชาวนาแต่ผมไม่คิดว่ามันเป็นความคิดที่แย่ที่จะซื้อของฝากที่นี่ให้เพื่อนคุณ.
นิทรรศการแรกเป็นแกลลอรี่และศูนย์กิจกรรม.มันดูค่อนข้างโล่งที่ทางเข้านั้นซ่อนอยู่ระหว่างอาคารแต่เราตื่นเต้นเพราะมันเป็นทัวร์แรกของวันนั้น.และเราต้องการเพื่อรำลึกเนื่องจากเรามาไกล.....
สวนเล็กๆแผ่อยู่ตรงทางเข้าและมีแผนที่ของจุดหลักในหุบเขาศิลปะ Pocheon.ตามด้ววยห้องจัดแสดง 2-3ห้องตามลานจอดรถ,มีนิทรรศการกลางแจ้งและศูนย์ดาราศาสตร์เรียงตามภูเขา,ซึ่งเพียงพอสำหรับเรา.
ดังนั้นถ้าคุณวางแผนที่จะมาที่นี่,ผมหวังว่าคุณจะใช้เวลาในการชมรอบๆที่นี่มากกว่าเพียงฆ่าเวลาสองสามชั่วโมง.
เดินตามทางหิมะแล้วคุณก็จะไปถึงศูนย์กิจกรรม.ศูนย์กิจกรรมและแกลลอรี่ไม่ได้รวมทางเข้าด้วยกันแต่พวกมันก็ยังเชื่อมต่อกันไม่ว่าทางไหนที่คุณเข้า,คุณสามารถที่จะทัวร์ได้ในครั้งเดียว.บวกกับ,ทั้งสองที่นั้นฟรี.
ศูนย์กิจกรรมเป็นสถานที่ที่คุณสามารถทำกิจกรรมได้มากมายอย่างที่คุณน่าจะเดาได้จากชื่อของมัน.มีเวิร์คช็อปที่ต่างๆกันบนชั้นสองที่ที่คุณสามารถทำกิจกรรมรวมถึงทำซุปจากสิ่งธรรมชาติ,เทียนอโรมา, hanji ( กระดาษเกาหลีทำมือจากต้นมัลเบอรี่) แกะสลัก/ หิน/หนัง และเซรามิค.
มีผู้เชี่ยวชาญรออยู่ในแต่ละเวิร์คช็อปที่ที่พวกเขานำเสนอกิจกรรมและการสอนเฉพาะวัน.ผมเห็นเด็กๆและครูกำลังทำน้ำส้มสีสวยๆในอโรมาเวิร์คช็อป.
ควบคู่ไปกับรูปภาพและกรอบ,มีกิจกรรมที่อนุญาติให้เด็กทำของเล็กๆที่ใช้ตกแต่งบ้านได้กับพ่อแม่ด้วย.
พุ่มไม้รูปหมาและหมี.ตามหน้าต่างและบันไดก็ถูกตกแต่งไปด้วยงานฝีมือ.
เราไปถึงที่นั่นช้าไปหลังจากทัวร์ที่ Pocheonดังนั้นเราไปดูรอบๆสถานที่ดีกว่านั่งทำอะไรอย่างอื่น.ดังนั้นเราจึงมุ่งหน้าไปยังศูนย์นิทรรศการทางการศึกษาที่ตรงสุดทาง.
เมื่อเราเข้าไปที่ล็อบบี้,ผนังนั้นปกคลุมไปด้วยโพสต์อิทของคำอธิษฐาน.ก็,ผมพลาดส่วนนี้ไม่ได้เลย.
เราต้องทำเหมือนกัน.ผมเขียนคำอธิษฐานจากใจและติดมันในที่ที่ไม่มีใครรู้.ของพวกเราอยู่แถวๆตรงนั้น.
ฮ่าฮ่าตอนนี้มันถึงเวลาที่จะดูรอบๆแกลลอรี่.ทันเวลาพอดี,แกลลอรี่แสดงเกี่ยวกับแม่น้ำ Hantan,วิถีชีวิตของ Pocheon.
ตามห้องกว้างของแกลลอรี่,มีสิ่งจัดแสดงมากมายเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ใหญ่.บวกกับเราไม่มีคนเยอะในตอนนั้นดังนั้นเราจึงดูรอบๆได้ง่าย.
หินสำคัญๆก็ถูกจัดแสดง.Yeonchon-gun,ส่วนยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ที่ ขวานAcheulean ที่พบในภาคตะวันออก,มันเป็นภาคใหญ่ของแม่น้ำHantan ซึ่งได้พบหินในภาคนั้นมีความหมายที่ดีด้วย.
บวกกับเราตื่นเต้นที่เราจับมันได้ไม่ใช่แค่อ่านคำอธิบาย.
และเวิร์คช็อปหินบดที่เราได้หัวเราะกับมัน. คุณจะจับหินและลูบมันเรื่อยๆ.ดังนั้นคุณสามารถลูบหินได้นานเท่าที่คุณต้องการ.
ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเวลา600ปีตั้งแต่ที่นี่เรียกว่า Pocheonจนผมมาที่นี่.ประวัติศาสตร์ของชื่อนั้นมันยอดเย่ียมและสิ่งที่ค้นพบในพื้นที่นี่ก็ยังจัดแสดงไว้ที่นี่.
สิ่งจัดแสดงทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับยุคสมัยใหม่ก็ถูกจัดแสดงอยู่ที่มุมหนึ่งแต่ดูว่าไม่ค่อยมีใครสนใจ.บวกกับ,พวกเขาจัดรวมกันโดยไม่คำนึงถึงอายุหรือการใช้ผมคิดว่ามันเพียงแค่โชว์.
เป็นการจัดแสดงแบบปรับปรุงใหม่(?)เป็นโซนรูปถ่าย.ถึงแม้เราจะไม่ได้ผ่านคลื่นแม่น้ำ Hantanแต่เราสามารถที่จะถ่ายรูปกับหน้าที่เคร่งขรึม.เหตุผลที่มุมถ่ายรูปที่จัดไว้ในแกลลอรี่เพราะแม่น้ำ Hantanเป็นแคนยอนตรงๆและหน้าผาและความกว้างของแม่น้ำที่ตรงและเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการล่องแพ.
บวกกับ,แม่น้ำ Hantanตั้งอยู่ในGyeonggi-do,เป็นภาคตอนล่างในเกาหลี,แต่มันค่อนข้างต่างจากแม่น้ำอื่นๆในภาคใต้เนื่องจากมันเชื่อมกับแม่น้ำImjin ไหลไปทางตะวันตกผ่านPaju,ไม่ใช่แม่น้ำ Hanที่ยิ่งใหญ่.มันไม่ใช่ยอดเยี่ยม,มันเล็กแต่ก็ยังดิบ,ผมว่า.ดังนั้นมันยังมีสิ่งที่มีค่าพอที่จะดูรอบๆแม่น้ำเหมือนกับน้ำตก Bidulgi Nang.
ที่โต๊ะเล็กๆที่ด้านหน้าของโซนถ่ายรูป,มีเด็กๆนั่งอยู่ด้วยกัน,เล่นเกมส์และทำบางอย่างตอนที่พวกเขากำลังมองที่กระดาษ.
มีกิจกรรมขวานหินที่คุณต้องทำขวานหินจากแม่น้ำ Hantanด้วยกระดาษ.แต่แม้แต่หลังอ่านคำแนะนำซักพัก,มันดูทำยาก.
เมื่อคุณเจ็บหัว,คุณจะต้องหายใจลึกๆ.เราออกจากแกลลอรี่และไปยังที่ศูนย์นิทรรศการหิน.
ถ้าศูนย์นิทรรศการการเรียนรู้ถูกสร้างเพื่อนำเสนอ Pocheonและแม่น้ำHantan, ศูนย์นิทรรศการหินถูกสร้างเพื่อแนะนำหุบเขาศิลปะ Pocheon.มันเพราะว่าที่นี่เคยใช้เป็นเหมืองที่ที่คนเคยให้ขุดหินแกรนิต.
ที่ด้านหน้า,รูปชั้นหินของภูเขาที่ที่หุบเขาศิลปะตั้งอยู่ถูกอธิบายในแบบสามมิติ.ถ้าคุณกดปุ่ม,มีเสียงออกมาให้คำอธิบายและแนะนำส่วนต่างๆ.เดาจากที่นี่ของหินเหล่านี้,มันจะต้องมีหินหลายอย่างจัดแสดงที่นี่.
ผมรู้ทีหลังแต่หินเหล่านี้จาก Pocheonใช้ซ่อมรอยแตกCheonggye และประตู Gwanghwamunในโซลและเพื่อสร้างบ้านสีฟ้า,ศูนย์รวมของชาตอเกาหลี,ศาล,สถานีตำรวจและสนามบิน Incheon.ซึ่งมันไม่ใช่พูดเวอร์เกินไปว่าหินแกรนิตส่วนใหญ่ใช้ในอาคารใหญ่ๆในเกาหลีมาจากPocheon.
ในห้องนิทรรศการ,ที่มีหลายอย่างจัดแสดงในรูปร่างต่างๆทำจากแกรนิตที่ได้มาจากที่นี่.หินแกรนิตนั้นพบมากที่เกาหลีแต่ที่มาจากPocheon เป็นที่ที่นิยมมากเนื่องจากมันมีความสวยงาม.
สิ่งที่ผมชอบมากกว่าชิ้นใหญ่ๆคือกล่องปากกาเล็กๆที่ทำจากแกรนิต.หินแกรนิตเองก็สวยแต่น่าประทับใจที่ได้เห็นว่าพวกเขาทำกล่องดินสอด้วยหิน.
หลังจากเราประวัติของหุบเขาศิลปะในนิทรรศการหิน,มันเริ่มที่จะมืดและถนนก็เริ่มที่จะสว่างขึ้นจากแสงไฟบนต้นไม้.
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะชมรอบๆหุบเขาศิลปะในPocheon.นิทรรศการที่เราเคยไปนั้นฟรีแต่ด้านบนของเหมืองจะต้องเสียเงิน.
และไฮไลต์ของที่นี่,รถราง.เราตัดสินใจที่จะนั่งมัน.มันราคา7,500 ต่อคนสำหรับไปกลับ.(3,000วอนรวมค่าเข้า).
มันไม่ไกลจาดยอดเขาแต่มันค่อนข้างชันและไม่มีอะไรให้ดูระหว่างทางดังนั้นใช้รถรางดีกว่าถ้าเป็นไปได้.
ชานชาลานั้นอุ่นเนื่องจากพวกเขาป้องลมหนาวที่มาจากภูเขา.ขณะที่เรารอ,พวกเขาก็อธิบายว่าจะทัวร์ยังไง.
ไม่นาน,ก็มีรถราง2คันมา.คันหนึ่งนั่งได้47คนถูกสร้างในปี 2014 และมันใช้เวลาน้อยกว่า10นาทีเพื่อที่จะขึ้นไปที่ยอด.
รถรางนี้มีสองป้ายรวมด้วยป้ายด้านหน้าของห้องขายตั๋ว,และทางที่เร็วที่สุดคือที่นี่,ออกจากด้านบน,เริ่มทัวร์,เดินไปยังจุดที่สองและนั่งรถรางเพื่อไปยังจุดเริ่มต้น.
ด้านในนั้นสะอาดและมีที่นั่งทั้งด้านหน้าและหลัง.ในหมู่นั้น,ที่นั่งด้านหน้าในรถคันแรกและที่นั่งด้านหลังในรถคันที่สองเป็นที่ที่ดีที่สุด.ถ้าคุณนั่งด้านหลังในรถคันแรกหรือที่นั่งด้านหน้าในรถคันที่สอง,สิ่งที่คุณจะเห็นคือหน้าสีเหลืองใหญ่ๆ.
น้อยกว่า5นาทีหลังจากที่เราขึ้นรถ,เราก็มาถึงยอด.และก็มีวิวที่งดงามที่เราได้รับ.แสงหลากสีแยงมาตามต้นไม้และของตกแต่งต่างๆ.
มันอยู่ตรงกลางของภูเขาที่ไม่มีแสงยกเว้นแสงจากต้นไม้ที่ตกแต่งและแสงก็สะท้อนกับหิมะสีขาวแถวนี้สวยงามมากกว่าที่อื่นๆ.
เกาะสมุนไพร,อีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งในPocheon,มันมีชื่อเสียงในเรื่องแสงในยามค่ำคืนแต่มันก็ดีได้แค่นั้น.มันไม่นานตั้งแต่ที่นี่ได้เปิดสู่สาธารณะชนดังนั้นคุณก็จะไม่มีการรบกวนเวลาถ่ายรูปหรือเดินชนคนอื่นๆ.
อีกสถานที่ท่องเที่ยวของหุบเขาศิลปะนั่นคือคุณสามารถที่จะไปที่ศูนย์ดาราศาสตร์.มันเป็นธรรมชาติที่คุณจะได้วิวที่ชัดของดาวบนฟ้าเนื่องจากมันอยู่ที่ตีนเขาในPocheon กับอากาศที่สดชื่น.
มันมีหลายอย่างให้ดูสำหรับอาคารที่ติดกัน.นี่เป็นอาคารสามชั้นที่ซึ่งมีนิทรรศการที่ชั้นหนึ่งและชั้นสองและอุปกรณ์สำหรับดูดาวที่ชั้นสามและบนดาดฟ้า.
ทันทีที่เราเข้ามาที่ล็อบบี้,มีโมเดลของจานดานเทียมและรูปปั้นต่างๆมองลงมายังนักท่องเที่ยวตามรูของเพดาน.มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากด้านนอกและผมก็สามารถได้กลิ่นของวิทยาศาสตร์ที่นี่.
มีหุ่นในชุดนักบินอวกาศกับโต๊ะประชาสัมพันธ์ที่มุมหนึ่งและโซนถ่ายรูปสำหรับพวกเราเพื่อที่จะเป็นนักบินอวกาศ.มีบันไดเล็กๆไว้ให้เด็กๆด้วย.
ห้องนิทรรศการที่หนึ่งนั้นถูกตกแต่งด้วยธีมเรื่องราวของโลกที่เราอาศัยอยู่ในหมู่ของดาวอื่นๆ.
ตามด้วยการกำเนิดของโลก,เรื่องราวเกี่ยวกับการรวมตัวของพืชและเรื่องราวง่ายๆที่อาจจะดึงความสนใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อวกาศก็เขียนอยู่บนฝาผนัง.
เรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับความจริงที่ว่าท้องฟ้าที่เรามองมาโดยตลอดไม่ใช่แค่มืดแต่มันยังมีสีสันที่สวยงามและโลกที่กว้างใหญ่ที่เบื้องหลังของมัน,ซึ่งมันใหญ่กว่าอันที่เราเห็นอยู่.
และมีสมุดสำหรับผู้มาเยี่ยมชมซึ่งควรที่จะเป็นจุดสิ้นสุด.ถ้าคุณถ่ายรูปกับกล้องที่มีเตรียมไว้ที่ด้านหน้าสมุดและเขียน.
ห้องจัดแสดงห้องที่สองเกี่ยวกับป้ายและโครงการพลังงานแสงอาทิตย์.มันมีอุปกรณ์หลายอย่างในหมู่นิทรรศการอื่นๆซึ่งคนค่อนข้างเยอะเทียบกับที่อื่นๆ.
สิ่งแรกที่ดึงความสนใจผมเป็นกล้องดูดาว.ใจดีพอ,มีมีรอยเท้าที่คุณสามารถมองที่กล้อง.
ฮื้อ?กล้องดูดาวแบบไหนกันเนี่ย?นี่จริงๆแล้วง่ายมากๆด้วยหลักการสะท้อนและเพิ่มการตกกระทบ.มันอยู่ด้านในดังนั้นคุณไม่ต้องมองหาไกลๆ.แทนที่,ถ้าคุณมองมัน,คุณก็จะเห็นแสงของดาวที่3-4m ห่างออกไป.นี่เป็นเพียงแค่ของเด็กที่ช่างสงสัย.
ด้านหลังกล้องดูดาว,มีโมเดลของกล้องดูดาวหลักที่หอดูดาวของภูเขาBohyeon,หนึ่งในกล้องที่ดีที่สุดของเกาหลี.กล้องนี้ใหญ่ที่สุดในเกาหลีมันใหญ่ขนาดที่มีเส้นศูนย์กลาง 1.8kmตั้งอยู่ที่Yeongcheon,Gyeongsangbuk-do, และอย่างท่ีคุณเห็น,คุณสามารถพบมันได้ที่ด้านหลังของแบงค์10,000.
ตรงกลางของห้องจัดนิทรรศการที่2มืดกว่าส่วนอื่นๆ.ดังนั้นโมเดลของพระอาทิตย์ดวงใหญ่ตรงกลางจึงดูสว่างมากขึ้น.แสงตรงกลางขยับเหมือนกับว่ามันกำลังไหม้อยู่ตรงหน้าของพวกเรา.
มันทำให้ผมอยากจับพระอาทิตย์.....ดังนั้นผมจึงเข้าไปใกล้ๆและทำให้ความหวังของผมเป็นจริงและพบว่ามันเป็นแค่แสง.แต่มันก็ใหญ่ซึ่งเพียงพอที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยว.
ไม่เพียงแค่มีพระอาทตย์แต่ยังมีการเปรียบเทียบดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ,ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล,เพื่อที่จะทำให้เราเข้าใจมันได้ง่ายขึ้น.และเราไม่ได้เห็นดาวพลูโต,ดาวเคราะห์ที่ไม่รวมอยู่ในระบบสุริยของเราเมื่อไม่นานมานี้.
เมื่อคุณพูดถึงดาวเคราะห์และกาแลคซี่มันดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์แต่เมื่อคุณพูดถึงดวงดาว,พวกมันดูเหมือนเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าและตำนาน.ซึ่งมันมีป้ายที่น่าสนใจที่นี่ด้วย.
มีคนมากกว่าที่อื่นๆเพื่อดูถึงเรื่องเล่าและฤดูของแต่ละป้าย.
มันอาจจะหมายถึงว่าสัญลักษณ์นั้นเป็นที่นิยมมากกว่าวิทยาศาสตร์ที่ส่วนใหญ่น่าเบื่อ,มีบอร์ดครึ่งวงกลมที่โชว์พวกเราท้องฟ้า. ถ้าคุณยกมือขึ้นตรงกลางของสกรีน,คุณสามารถที่จะปรับมันได้.คุณยังสามารถได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสัญลักษณ์และเรื่องราวของมันในแต่ละฤดู.แต่มันน่าเศร้าที่ทำได้ครั้งละสองคนเท่านั้น.ดังนั้นคุณจะต้องรอนานเมื่อเวลามีคนเยอะ.
มีล็อบบี้สำหรับนั่งพักเมื่อคุณออกไปด้านนอกห้องนิทรรศการ2.ห้องนิทรรศการ2และ3ที่ชั้นสองซึ่งคุณจะเห็นทางเข้าที่คุณเข้ามาจากที่นั่งพัก.และคุณจะเห็นโลกลอยอยู่บนหัวใกล้ๆ.
หลังจากที่พักสั้นๆบนเก้าอี้,เรามุ่งหน้าไปยังห้องนิทรรศการสุดท้าย,ห้องที่3.ธีมของห้องนี้คือ "การเดินทางไปสู่ห้วงอวกาศ".มันแสดงให้เราเห็นถึงเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์และประวัติเกี่ยวกับอวกาศเช่นเดียวกับเรื่องราวของดาวเคราะห์ต่อไป.
อย่างแรก,พวกเขาอธิบายว่าอวกาศแสดงให้เราเห็นอะไรบ้าง.ในการที่จะแสดงให้เราเห็นว่ามีแสงหลายชนิดนอกจากที่เห็นได้,อย่างที่เราเห็นเป็นปกติ,มีกล้องให้มองซึ่งนักท่องเที่ยวต่างก็ให้ความสนใจ.
และเนื่องจากคุณเรียนวิทยาศาสตร์เมื่อตอนเป็นเด็ก,สีมีความแตกต่างขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของไฟ.มันเรียกง่ายๆว่าสเป็คทรัมและอุณหภูมิของมัน,ชื่อสีของแสง,ใช้ในการอธิบายเมื่อการดูดาวและหาระยะทาง.
นานมาแล้ว,มันเป็นที่นิยมที่มีอุกกาบาศตกที่เกาหลี.คุณยังสามารถเห็นซากเหล่านี้ที่นี่ด้วย.
มันบอกว่าพวกมันส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของธาตุเหล็กและมีอุกกายาศที่น่ารักเหมือนอันนี้.มันน่าจะสวยถ้าเอามันวางไว้ที่ไหนซักที่ที่บ้าน.
ดังนั้นถ้าคุณเห็นความลึกลับของอวกาศผ่านแสงและอุกกาบาศ,มันถึงเวลาที่จะแนะนำผู้คนที่ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับอวกาศในอดีต.
ชื่อของคนที่เป็นที่รู้จักว่ารักอวกาศและจดบันทึกเกี่ยวกับพวกมันก็ได้มีการจัดแสดงไว้.น่าเสียดาย,เราต้องจบทัวร์ของเราที่ห้องจัดแสดง3.ชั้นบนและดาดฟ้าให้บริการแค่คนที่แจ้งไว้ล่วงหน้าซึ่งถ้าคุณสนใจ,คุณควรทำตามที่บอกไว้ในเว็บไซต์.
แม้ว่าคุณจะไม่สามารถที่จะเห็นดาว,แสงตอนกลางคืนก็ทำให้หุบเขาสว่างขึ้นที่ด้านนอกของพิพิธภัณฑ์.มันดูว่าจะหนาวถ้าออกไปข้างนอกจากอาคารแต่เราต้องจัดเสื้อผ้าและออกไปข้างนอก.
แสงจากต้นไม้เล็กๆ.มันน่าจะเป็นแสงธรรมดาแต่ดูสวยมากบนหิมะสีขาว.มันเป็นแค่ผมที่คิดว่ามันเหมือนเค้กหรือขนม?
หุบเขาศิลปะเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างใหญ่ซึ่งมีแผนที่อยู่ที่นี่และที่นั่นช่วยในการที่เราจะชมรอบๆ.
เดินตามถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและแสง.ครั้งนี้,เรามาที่สถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในหุบเขาศิลปะ,ทะเลสาบCheonjuho.
Cheonjuho นั้นห่างจากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์10นาที.มันอยู่ในละครหลายๆเรื่องด้วย.
ท้า-ด้า.ที่นี่คือทะเลสาบCheonjuho แห่งหุบเขาศิลปะ.มันดูสวยน้อยกว่าในรูปแต่คุณจะทึ่งกับหินที่มีรูปร่างขรุขระเป็นรูปต่างๆ.แม้แต่ที่ที่ไกลที่สุดที่คุณไม่สามารถที่จะมองเห็นได้มันก็เต็มไปด้วยน้ำสีฟ้าล้อมรอบหินก้อนใหญ่ๆ.เหมือนวิวของภาพทิวทัศน์ในสมัยโบราณ.
บนหิน,มีแสงสีต่างๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆที่ทำให้เรารู้สึกว่าหินนั้นขยับถ้าคุณจ้องมัน.
มีคนบอกผมว่ามันเคยไม่มีน้ำที่นี่.มันเคยเป็นภูเขาหินแต่ผู้คนเริ่มที่จะขุดเพื่อเอาแกรนิต,น้ำก็เริ่มเข้ามาแทนที่ว่างและทะเลสาบก็เกิดขึ้น.ดังนั้นมันน่าจะบอกได้ว่ามันเป็นผลงานของมนุษย์และพระเจ้า.
ขณะที่พื้นที่ว่างของเหมืองกลายเป็นทะเลสาบ เนินเล็กๆเหนือ ก็กลายเป็นสวนด้วยรูปที่ทำจากแกรนิต
และสถานที่นี้ก็อัพเกรดขึ้นจากความช่วยเหลือของแสงวิบวับและหิมะสีขาว.มันเป็นที่ที่ดีกว่าในการพักผ่อนเพราะว่ามีคนไม่มากน่าจะเป็นเพราะอากาศที่หนาว.
ผมชอบรูปปั้นในสวนเพราะแต่ละอันไม่เหมือนกันที่ผมไม่เข้าใจความหมายของสวนอื่นๆ.
บวกกับมีรูปปั้นน้อยกว่า10รูปในที่ใหญ่ๆ,ไม่ใช่เป็นโหล,ดังนั้นถ้าคุณดูมันทุกอัน,คุณก็จะจำมันได้ทั้งหมด.
ที่ด้านล่างของงานในสวน,คุณจะเห็นช่องว่างของแผนที่เกาหลี.และมีบันไดสำหรับเด็กเพื่อที่จะถ่ายรูปกับทุกรูปปั้น.
งานชิ้นนี้ถูกติดไว้กับภูเขา,จากที่หินแกรนิตไม่ใช่ถูกแยกออกมา,ดังนั้นทุกอย่างคืองานศิลปะ.ผมไม่รู้ว่าทำไมแต่ส่วนใหญ่คนแก่จะชอบ.ฮ่าฮ่า
เราเดินมาหน่อยและเห็นแสงสว่างจากอิคลูยักษ์.เราเข้าไปคาดว่ามันจะต้องมีอะไรพิเศษด้านใน.
ด้านในนี้,เราเห็นขวดMakgeolli ขนาดใหญ่กับ“Pocheon Makgeolli นั้นดีที่สุด"เขียนไว้...ตายแล้ว!แค่นี้หรอ?ผมมองไปทางอื่นและก็เห็นเป้าหมายจริงของบ้านหลังนี้.นี่ใช่แน่แน่บ้านของMakgeolli ที่สร้างจากขวดMakgeolli สีขาว~.
บ้านนี้ล้อมรอบไปด้วยหน้าผาสูงและหน้าผาด้านหน้ามีที่สังเกตุการณ์อยู่ตรงบันไดวน.น่าเสียดายเราไปที่นั่นไม่ได้เนื่องจากห้ามเข้าเพราะลื่นจากหิมะ.
แต่ถ้าคุณไปดูด้านข้าง,คุณก็จะเห็นเวทีใหญ่ที่ดูเหมือนโรงหนังทำจากหิน.คุณเห็นคนข้างล่างนั่นมั้ย?หน้าผานี้สูงมากและมันเป็นอันเดียวกับหินก้อนยักษ์ที่หุบเขาลึกที่เราเห็นจากทะเลสาบCheonjuho.
เนื่องจากหับเขาศิลปะเคยเป็นเหมือง,คุณสามารถที่จะพบร่องรอยของมันจากหินที่นี่.ใต้หน้าผาหิน,มีเคร่ืองมือที่เคยใช้สกัดหินรวมถึงเครื่องเจาะ.
ตอนที่เราเดินรอบๆสวน,เราเริ่มที่จะรู้สึกหนาวมากๆ.เราคิดถึงฮีทเตอร์มากๆ.ดังนั้นเราจึงต้องวิ่งไปยังจุดพักที่ตั้งอยู่ตรงจัสตุรัส.
กาน้ำร้อนและเตาทำให้นักท่องเที่ยวลืมความหนาว,มันเป็นเพียงที่พักที่ทำจากเต้นท์แต่มันทำให้เราอุ่นเหมือนห้องอื่นๆ.
เมื่อร่างกายคุณอุ่นขึ้น,ท้องคุณก็จะเริ่มหิวด้วย.ซึ่งพวกเขามีขนมขายที่นี่.มีเค้กปลา,อุด้งและกาแฟซึ่งคุณไม่ควรจะหวังอะไรให้มากแต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกดีขึ้น.
ตอนนี้เราอุ่นร่างกายเรียบร้อยด้วยกาแฟและฮีทเตอร์และเสร็จทัวร์ส่วนใหญ่ที่หุบเขาศิลปะ,เราต้องลงไปก่อนที่จะดึก.เมื่อเรามาถึงชานชาลา,มีคนสองสามคนแล้ว.
รถรางนั้นเปิดให้บริการแต่ในตอนกลางคืนเมื่อมีผู้โดยสารสองสามคน,พวกเขาจะรอให้รถเต็มโดยเช็คผ่านกล้องและส่งขึ้นไป.เราอุ่นร่างกายด้วยฮีทเตอร์ไฟฟ้าสีแดง10นาทีก่อนที่มันจะเริ่มเคลื่อน.
ซักพักเราก็พบรถรางสีเหลืองอีกครั้ง.เรานั่งเพราะมันค่อนข้างว่าง.
แค่นั้น,เราเสร็จทัวร์ที่หุบเขาศิลปะ Pocheon FORAR ซึ่งเปลี่ยนเหมืองแกรนิตที่ถูกทิ้งร้างให้เป็นอวกาศแบบมีศิลปะ.
แต่น่าเสียดาย,ทะเลสาบ Cheonjuhoนั้นสวยและยอดเยี่ยมในตอนกลางวันมากกว่ากลางคืน,และในฤดูร้อนมากกว่าฤดูหนาว.แต่เมื่อคิดถึงมัน,คุณก็จะไม่ได้เห็นแสงสวยๆและพิพิธภัณฑ์ดาวในตอนกลางวัน.มันหมายความว่ามันมีสิ่งที่น่าสนใจทั้งกลางวันและกลางคืน.
อืม....แต่เราต้องเลือกฤดูที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวในการท่องเที่ยว,มันอาจจะเป็นช่วงคริสต์มาสหรือกลางคืนในหน้าร้อน.มันไม่ใช่หุบเขาในป่าหรือหอดูดาวบนยอดเขาสูงแต่คุณจะได้ทั้งสองอย่างที่หุบเขาศิลปะในPocheon.
ถ้าเราเลือกมาหนึ่งอย่างแต่ยกเว้นวิวธรรมชาติในPocheon.เราต้องเลือกที่นี่เป็นที่แรก.ถ้าคุณมีโอกาสได้มาที่Pocheon,ทำไมคุณไม่ลองพาครอบครัวหรือแฟนและมองดูดาวภายใต้ท้องฟ้าใสๆดูล่ะ?
แผนที่ : link
ที่อยู่ : 282, Giji-ri, Sinbuk-myeon, Pocheon-si, Gyeonggi-do
โทรศัพท์ : 031-538-3483
เวลาทำการ : 09:00~18:00 (เปิดกลางคืน)
ค่าเข้า : ผู้ใหญ่ 3,000 วอน /นักเรียน2,000 วอน / เด็ก1,000 วอน (รถราง 7,500 วอน/ 5,500 วอน/ 3,500 วอน– รวมค่าเข้า)
เว็บไซต์ : website
Manbeokal
หุบเขาศิลปะPocheonนั้นตั้งอยู่บนเนินเขาห่างจากตัวเมือง.ดังนั้นจึงไม่มีร้านอาหารแถวๆนี้ที่เราสามารถที่จะเดินไปได้.
แต่ว่ามีอยู่ที่หนึ่งตรงห้องขายตั๋วที่แก้ปัญหาทั้งหมด.มันมีชื่อว่าManbeokal ที่ทำเต้าหู้,เห็ดและkalguksu(บะหมี่หั่น).
ตอนที่ผมค้นหาออนไลน์,ผมเจอมันใหม่หมู่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบ.โดยส่วนตัวแล้ว,มีร้านอาหารสองสามแห่งที่คงจะทำให้เราพอใจใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเราก็ไม่ได้หวังอะไรมากเมื่อเราไปถึงที่นั่น.
มันผ่านเวลาอาหารไปแล้วดังนั้นโต๊ะส่วนใหญ่จึงว่าง.เราเช็คเมนูและมีแค่สองเมนู,หนึ่งคือ Manbeokalและอีกอันหนึ่งสำหรับเด็ก.
ทันทีที่เรานั่ง,พวกเขาก็สั่งอาหารสองที่สำหรับเรา.พวกเขาคงรู้ว่าเราหิวขนาดไหนเพราะdaikonแห้ง,เห็ดปรุงรสด้วยน้ำส้มและส่วนผสมอื่นๆและ geotjeori (สลัดผักสดปรุงรสด้วยกระเทียมและพริกป่น,และอื่นๆ)ก็มาเสริฟ.
Manbeokalคือเห็ดหม้อร้อนซึ่งตั้งชื่อตามชื่อของอาหาร,Mandu(เต้าหู้), Beoseot(เห็ด)และ Kalguksu(บะหมี่หั่น) ซึ่งคุณสามารถที่จะอร่อยกับข้าวผัดเมื่อคุณเกือบที่จะกินอาหารจานหลักเสร็จ.เนื่องจากร้านนี้ใช้เห็ดสดจากสวนเลี้ยงของศูนย์เห็ด Pocheon,ไม่มีอะไรต้องพูดถึงว่ามันสดขนาดไหน.
ในที่สุดหม้อร้อนกับเห็ดหลากชนิดและเต้าหู้ในซุปขาวที่เสริฟอยู่บนโต๊ะ.ผมเห็นเห็ดenoki,เห็ด Saesongiและเห็ดชิตาเกะที่เราเห็นบ่อยๆ.และไฮไลต์คือ hericium erinaceum ที่ด้านบนที่ดูเหมือนฝ้ายตรงหางของหมวก.คิดถึงเต้าหู้ในซุปเนื้อ,มันค่อนข้างเยอะสำหรับสองคน.
ยังไงก็ตาม,เราต้องรอจนสตูว์Manbeokal สุก...อีกทั้งเรากินเครื่องเคียง,บางอย่างหายไป.
เนื่องจากเราอยู่ที่Pocheon, เราอาจจะต้องลอง Pocheon Makgeolli,ใช่มั้ย?แต่ขวดนึงมันเยอะเกินไปและผมก็จะเสียดายถ้าไม่ได้ลอง...ถึงตอนที่ผมเกือบที่จะถอดใจ,ผมเห็นว่าเขาขาย Pocheon Makgeolli หนึ่งแก้วสำหรับหนึ่งคน.
ผมชิมหนึ่งจิบและมันรสหวานและเรียบสำหรับMakgeolli. ดังนั้นผมจึงกิน Geotjeoriที่สดและกรอบ.มันเหมือนกับว่า Makgeolli นั้นอยู่กับเราจาก Sansawon ถึง Manbeokalในหุบเขาศิลปะ.ฮ่าฮ่า
สตูว์เริ่มที่จะเดือดแสดงให้เห็นซอสสีแดง.เห็ดและเต้าหู้ก็สุกต่างเวลากัน.ซึ่งถ้าคุณรอจนสุกทั้งหมด,เห็ดก็จะเสียรสชาติ..
ในการที่จะอร่อยกับรสชาติของส่วนผสมต่างๆ.คุณต้องทำตามความแนะนำแต่อะไรก็ตามที่คุณกิน,คุณจะได้รับรสชาติที่อร่อยที่สุดเมื่อคุณทำตามคำแนะนำจากเชฟ.
สำหรับคนดีดี,เรากินเห็ดและGeotjeori ในคำเดียว.โอ้ โห~เราได้รสชาติเห็ดมากกว่าที่เราคาดไว้.ผมเข้าใจว่าทำไมคนถึงชอบที่นี่และเมื่อผมกินมันเกือบหมด,ผมก็อยากที่จะแนะนำที่นี่กับคนรอบๆผมด้วย.
เมื่อเราเกือบที่จะกินเห็ดหมด,พนักงานถามเราว่าเราอยากได้บะหมี่หั่นมั้ย. "อยากได้~!!” และเราก็กินเต้าหู้ที่สุกอยู่ในสตูว์.แม้แต่ก่อนที่เราจะถ่ายรูป…;;;;;;;;; เราคงอร่อยกับพวกมันมากๆ.
แล้วความหิวของเราก็ต้องการข้าวผัด.ไม่นานหลังจากที่พนักงานเอาบะหมี่ให้เรา,พนักงานอีกคนเอาซีฟู้ดและผักและผัดมันกับข้าว.
ข้าวผัดอร่อยที่สุดเมื่อมันกรอบๆจากข้าวที่ผัดนานๆแต่เรารอไม่ไหวและเราก็กินมันกับเครื่องเคียง.
หลังจากที่เรากินขนมปังกับโยเกิร์ตอย่างคำแนะนำ,เราพึ่งจะรู้สึกว่าเราหลงลืมและกินอาหารเร็วมาก,ไม่ใช่ส่วนของบันทึกการท่องเที่ยวของผม...
แล้วผมก็พยายามจะหาอะไรเพื่อที่จะถ่ายรูป,แต่เท่าที่เหลือหรือแก้วเหล้าเปล่า.น่าจะเป็นเพราะเราเดินไกลและเดินทางไกลๆ,เรามีความสุขที่เราสามารถกินอาหารที่น่าประทับใจเหล่านี้ที่ร้านอาหารที่เราไม่ได้คาดหวัง.
Manbeokalนั้นอยู่แถวสถานที่ท่องเที่ยวแต่ผมว่าคุณต้องยกให้ร้านน้ี.กลิ่นเห็ดสด,เต้าหู้,บะหมี่หั่น,ข้าวผัด,โยเกิร์ตและMakgeolli ทำให้ทัวร์ของเราที่หุบเขาศิลปะมีค่ามากขึ้น.
เราถ่ายรูปมาไม่มากที่Manbeokal ในครั้งนี้แต่เราอิ่มมากเมื่อออกมาจากร้าน.และอย่างสุดท้าย....เราเอานี่มากล่องหนึ่ง~!!รู้ไว้นะ,ร้านปิดเร็วดังนั้นเช็คก่อนที่จะไปนะ.
แผนที่ : link
ที่อยู่ : 282, Giji-ri, Sinbuk-myeon, Pocheon-si, Gyeonggi-do
โทรศัพท์ : 031-535-0587
เวลาทำการ : 09:00 ~ 19:00
ราคา : 2 คน: 22,000 วอน/ 3 คน: 33,000 วอน/ 4 คน: 39,000 วอน, หมูบดทอดสำหรับเด็ก : 8,000 วอน