หอรำลึกชินดงย็อบ
เอาล่ะท้องก็อิ่มพอแล้วช่วงนี้เป็นช่วงบอลโช(ตกแต่งสุดสาน)เพื่อเตรียมเทศกาลชูซ็อก(วันเก็บเกี่ยว) เลยเป็นห่วงว่ารถจะติดก็เลยตกลงกันว่าจะไปขึ้นรถเร็วนิดนึง
ระหว่างทางไปก็เห็นชื่อ"ถนนชินดงย็อบ"เอ๊ะตลกชื่อดังนี่ไม่ใช่สินักกวีแน่เลยรู้สึกสงสัยเลยลองเสิร์จหาด้วยมือถือแล้วไปหาถึงที่ทันที
หอรำลึกชินดงย็อบอยู่ไม่ไกลจากสถานีมากนัก
ชินดงย็อบนักกวีที่ต่อต้านญี่ปุ่นช่วงที่เกาหลีถูกญี่ปุ่นปกครองเคยเห็นชื่อบ่อยๆในตำราท่านเป็นคนพูยอนี่เอง
บ้านเกิดของท่านดูเก่านิดนึงประตูปิดแน่นอยู่น่าเสียดายที่หลังคาสีฟ้าที่ดูใหม่ดูไม่เข้ากับบรรยากาศเลย
พอเดินเข้าด้านในหอจะเจอรูปปั้นครึ่งตัวบนของชินดงย็อบกำลังถือปากกาอยู่
ในหอแห่งนี้มีการจัดแสดงประวัติชีวิตของนักกวีชินดงย็อบที่เขียนบทกลอนก็อบแตกีนึนคาราซึ่งกล่าวถึงภาพบรรยากาศของสังคมที่ถูกกดขี่ในช่วงปี1960
ตลอดจนจดหมายที่เขียนตอบกับภารยาและสมุดจดเล่นและอื่นๆที่แสดงให้เห็นชีวิตของท่านอย่างละเอียด
ด้านหลังมีการจัดเรียงงานศิลปะที่จัดทำขึ้นเพื่อรำลึกถึงท่านและภาพถ่ายของท่านในชีวิตประจำวัน
อีกด้านหนึ่งได้จัดห้องเล็กๆห้องหนึ่งไว้ให้คนสามารถมาอ่านหนังสือสมกับที่เป็นหอรำลึกนักกวีน่าแวะมาพักผ่อนมากเลยนะครับ
หลังจากที่ชมหอรำลึกเสร็จแล้วพอเดินออกมาข้างนอกจะเห็นเสายาวๆที่ทำจากเหล็กเรียงอยู่เป็นแถบสูงเหมือนจะเหยียดขึ้นฟ้าทีเดียว
พอมองจากด้านล่างจะเห็นกลอนท่อนหนึ่งของอาจารย์ชินดงย็อบดูเผินๆเหมือนเขียนไว้บนฟ้านักกลอนกับฟ้าดูเข้ากันดีนะครับเสาที่เห็นนี้เป็นงานศิลปะที่กลมกลืนกับศิลปะที่มีอยู่เดิมได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว
หอรำลึกชินดงย็อบที่ได้ไปเยี่ยมโดยบังเอิญเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดท้ายที่ไม่ด้อยไปกว่าที่อื่นๆเลยสามารถตามรอยเก่าของประวัติศาสตร์แพ็กเจมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างดีผมคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของพูยอใครมีโอกาสได้ไปพูยอขอให้ลองไปดูนะครับ
ที่อยู่ : เลขที่ 501-3 ดงนัมรีพูยออึบ (충청남도 부여읍동남리 501-3)
โทร : 041-830-2872
เวลาบริการ : ช่วงฤดูร้อน(เมษายน~ตุลาคม) 09:00~18:00 / ช่วงฤดูหนาว(พฤศจิกายน~มีนาคม) 09:00~17:00 / วันจันทร์ปิด
คำกล่าวจบการเดินทาง
การเดินทางในพูยอตลอดสองวันหนึ่งคืนที่ผ่านมาเราได้พบปะกับมรดกทางวัฒธรรมจำนวนมากมายแน่นอนว่ายังมีหลายแห่งที่ยังอยู่ในระหว่างการฟื้นฟูจึงไม่สามารถดูได้
พูยอนั้นยังเป็นเมืองที่กำลังขุดค้นเพื่อรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ที่ถูกฝังอยู่ทั่วทุกที่แฟนผมที่เดินทางไปด้วยกันก็บอกว่าอยากไปเที่ยวตามรอยประวัติศาสตร์แบบนี้อีกนับเป็นโอกาสดีที่ได้เรียนรู้และให้ความสนใจกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของเราใครมีเด็กก็ยิ่งควรจะพามาให้ลองเปิดหูเปิดตาเรียนรู้ด้วยตัวเอง
ก่อนที่เราจะถูกล้อมรอบด้วยเทคโนเลีที่ทันสมัยเราเคยมีประวัติศาสตร์เก่าแก่มาก่อนการไปเยี่ยมชมร่องรอยเหล่านั้นเปรียบเสมือนการตื่นแต่เช้าเพื่อออกมาสูดอากาศที่สดชื่นก่อนใครๆและยังเป็นการท่องเที่ยวเพื่อปลูกฝังมุมมองใหม่ๆอีกด้วย
แม้จะเดินเที่ยวหนักจนเท้าพองแต่ความเจ็บปวดเล็กๆน้อยๆคงไม่สามารถลบล้างความสุขที่ได้รับในการเดินทางครั้งนี้ได้ในที่สุดก็ถึงเวลาขึ้นรถกลับกรุงโซลแล้วทางกลับคงจะอิ่มเอิบไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปลาบปลื้ม
จบ~~!!